random pictures blog
Search

รีวิว Oppenheimer (2023) ออปเพนไฮเมอร์

ภาพยนตร์หนึ่งเรื่องราวจากผลงานการกำกับของ คริสโตเฟอร์ โนแลน ผู้กำกับมากฝีมือตลอดกาล

Oppenheimer หรือ ออปเพนไฮเมอร์ ภาพยนตร์หนึ่งเรื่องราวจากผลงานการกำกับของ คริสโตเฟอร์ โนแลน ผู้กำกับมากฝีมือตลอดกาล ที่คราวนี้กลับมาในมุมมองของเรื่องราว การเกิดสงครามโลกจากระเบิดปรมาณูนิวเคลียร์ ชีวประวัติสุดเข้มข้นที่อิงมาจากเรื่องจริง ของนักวิทยาศาสตร์แห่งประวัติศาสตร์โลก โดยที่บอกเลยว่าเรื่องนี้ใช้เทคนิคสุดแพรวพราว สร้างความตื่นตาตื่นใจอย่างแน่นอน มาพร้อมกับบรรยากาศที่ตึงเครียดของสงครามโลก และไขความลับของทฤษฎีฟิสิกส์ที่เข้มข้นและอิงตามหลักความจริงแบบ 100%

Oppenheimer จะเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงของ เจ. ออพเพนไฮเมอร์ ชายหนุ่มนักวิทยาศาสตร์สติปราดเปรื่องที่มีปัญหากับชีวิตของตนเอง จนกระทั่งได้ถูกขอให้เข้ามาช่วยเหลือในงานสำคัญ เพื่อหาหนทางที่จะยุติสงครามโลกครั้งที่สอง หรือ World War 2 นั่นเอง ซึ่งทำให้เขาได้ตั้งความคิดและสมมติฐานในการสร้างอาวุธปรมาณู จนกระทั่งสามารถทำได้สำเร็จเป็นครั้งแรกของโลก เพื่อใช้ในการยุติไม่ให้ทุกฝ่ายจากประเทศไหนได้ต่อสู้กันอีก แต่นั่นก็กลับกลายมาเป็นผลร้ายที่เสมือนดาบสองคมเป็นเงาตามตัวเขาด้วย

แน่นอนว่าผลงานของ คริสโตเฟอร์ โนแลน ก็ยังคงทำให้เราประทับใจ ตื่นตาตื่นใจได้เหมือนเดิม ด้วยผลงานระดับ Masterpiece ที่เรียกว่านี่น่าจะเป็นอีกชิ้นหนึ่ง สำหรับคอหนังที่ติดตามผลงานของเขามาอยู่แล้วก็ไม่ควรพลาด หนังเรื่องนี้ถือว่าได้แรงบันดาลใจและไอเดียมาจากเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริง ซึ่งมันก็ส่งอิมแพ็คกับคนดูมากทีเดียว

ในผลงานครั้งนี้เขายังได้เขียนบทร่วมกับ นักเขียนหน้าใหม่อย่าง ไค เบิร์ด ซึ่งได้อ้างอิง มาจากตำนานงออพเพนไฮเมอร์ จากฉบับหนังสือ ที่บอกเลยว่ายังเต็มไปด้วยมิติชั้นเชิงการเล่าเรื่องที่คมคายเหมือนเดิม และยังมีทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ที่ทำให้เราได้ชวนคิดและค้นหาความเป็นจริงไปด้วย

แม้ว่านี่จะเป็นหนังฟอร์มยักษ์ที่มีเรื่องราวน่าสนใจ แต่บอกกันตามตรงว่าอาจจะไม่เหมาะกับผู้ชมที่ได้ดูทุกคนขนาดนั้น เพราะหนังไม่ได้ให้ความบันเทิง แต่จะเน้นไปในการเล่าเรื่องราวที่จริงจัง บรรยากาศที่เดือดมากๆ ที่สำคัญคือมีบทพูดเยอะมากกว่า 90% ของเนื้อหาทั้งหมด จัดเต็มไปด้วยบทพูดของแต่ละตัวละคร จนแทบจะไม่มีช่วงให้ได้หยุดหายใจกันเลยทีเดียว ดังนั้นนี่จึงเป็นอะไรที่อาจจะไม่เหมาะสำหรับใครที่ไม่ชอบดูหนังตึงเครียด หรือบทตัวละครมากเกินไป

การเล่าเรื่องที่มีชั้นเชิงบวกกับความซับซ้อนถือว่าเป็น signature ที่สำคัญของทางผู้กำกับอย่าง คริสโตเฟอร์ โนแลน กันเลยก็ว่าได้ เราอาจจะเคยได้เห็นผู้กำกับท่านนี้ใช้ทฤษฎีรูหนอนในเรื่องอินเตอร์สเตลลาร์กันมาแล้ว คราวนี้ก็มาจัดเต็มกับทฤษฎีสัมพันธภาพ ที่บอกเลยว่ามาทางวิทยาศาสตร์และฟิสิกส์แน่นเหมือนเดิม ใครที่เป็นสายหนังไซไฟก็ไม่ควรพลาด แต่ถึงอย่างนั้นไม่ใช่ว่าเรื่องราวจะนำเสนอออกไปให้เข้าใจยาก เพราะไม่จำเป็นต้องรู้ลึกขนาดนั้นก็ยังรู้สึกว่าสนุกกับเรื่องราวได้ แต่หากอินกับวิทยาศาสตร์อยู่แล้วก็จะยิ่งทำให้มีอรรถรสในการรับชมมากยิ่งขึ้น

ด้านงานแสดงต้องชื่นชมให้กับผลงานของ คิลเลียน เมอร์ฟีย์ ที่สามารถรับบทบาทการแสดงสุดจะเป็นมืออาชีพ เหมือนกับว่าบทนี้เกิดมาเพื่อเขาผู้นี้เท่านั้น เพราะอินเนอร์และอะไรหลายๆอย่างมันดูเข้าที่เข้าทางไปหมด การตีความว่าเป็น เจ. ออพเพนไฮเมอร์ ที่นักแสดงท่านนี้สามารถวิเคราะห์ออกมาได้อย่างแตกฉาน แค่มองดูบุคลิกของเขาในเรื่องก็รู้สึกแล้วว่าไม่มีใครหมาะกับบทนี้จริงๆ ส่วนนักแสดงสมทบท่านอื่น ก็ต้องชื่นชมทั้ง เอมิลี บลันต์, แมตต์ เดมอน, เจสัน คลาร์ก, อัลเดน เออเรนริช, ฟลอเรนซ์ พิวจ์ และ เคนเนธ บรานาห์ ที่ทำการบ้านมาดีมาก รายละเอียดถือว่าฝ่ายจัดเต็มทุกฉาก ถ่ายทอดออกมาได้หลายมิติทีเดียว

ด้านรายละเอียดมุมกล้องและงานภาพต่างๆ ก็ถือว่าทำออกมาได้ดีเหมือนเดิม สมศักดิ์ศรีของความเป็นหนังของผู้กำกับท่านนี้ การใช้เทคนิคพิเศษบวกกับ CG ที่ทำให้ดูมีมิติมากขึ้น การจัดแสงและการดีไซน์วิชั่นออกมาแบบเพอร์เฟ็กค์สุดๆ คิดมาอย่างดีแล้วว่าช่วยปรับคอนทราสต์อารมณ์ของคนดูได้เป็นอย่างดี ความพิถีพิถันในด้านงานออกแบบที่บอกเลยว่าไม่มีผู้กำกับคนไหนทำได้เหมือนอีกแล้ว ยิ่งถ้าได้รับชมในโรงภาพยนตร์จะยิ่งรู้สึกถึงความอลังการงานสร้างถึงที่สุด มันดีไปทุกอย่างทุกงานไปเลย ต้องยอมรับเลยว่าเก็บผลงานได้เนี๊ยบจนไม่รู้สึกว่ามีจุดไหนให้ติได้เลย

ขอสรุปว่า Oppenheimer เป็นอีกหนึ่งผลงานคุณภาพจากทางผู้กำกับ คริสโตเฟอร์ โนแลน ที่ไร้ที่ติจริงๆ น่าจะเป็นการกลับมาอีกครั้ง ทำให้แฟนๆ หนังได้ประทับใจ พร้อมกับรางวัลมากมายที่การันตีในปี 2023 กันเป็นที่เรียบร้อยแล้วสำหรับเรื่องนี้ ข้อเสียมีเพียงแค่อย่างเดียวคือในส่วนของการส่งสารให้กับผู้รับชม ที่อาจจะไม่ได้เข้าถึงได้ทุกเพศทุกวัยขนาดนั้น เพราะตัวหนังค่อนข้างเครียด และกดดันพอสมควร แต่ด้านเนื้อหาและความเข้มข้นบอกเลยว่าจัดเต็ม โดยเฉพาะการเล่าเรื่องราวของสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่เสนอผ่านมุมมองทางฟิสิกส์แบบนี้ไม่มีที่ไหนในเรื่องอื่นมาก่อนแน่นอน ดังนั้นอย่าพลาดลืมติดตามรับชมกัน

Categories