Fair Play (2023) เมื่อความรักที่สวยงาม กลับบ่อนทำลายชีวิตของทั้งคู่

เกมรักเฉือนคมของคู่หนุ่มสาว ที่ทำงานในบริษัทกองทุนเฮดจ์ฟันด์เดียวกัน

Fair Play เกมรัก ที่จะพาคุณไปพบกับความสัมพันธ์สุดแซ่บ ของทั้งคู่ เรียกว่าเป็นหนังระทึกขวัญปนดราม่าสุดเฉือนคม จากคนรัก ต้องกลายมาเป็นคู่แข่งขัน ที่ดูเหมือนว่าจะร้อนระอุขึ้นไปทุกที Fair Play มีเรตติ้งระดับ R เพราะเนื้อหาค่อนข้างจะวาบหวิว หักเหลี่ยม สุดเร้าของคู่รักคู่หนึ่ง ที่ความสัมพันธ์ของทั้งสองเหมือนจะคบกันไม่ได้แบบเปิดเผย แต่สุดท้ายต้องลงเอยเป็นศัตรูคู่แข่งในบริษัท และกำลังจะบั่นทอนความรักลงไปทุกที

ข้อมูลทั่วไปของหนังเรื่อง Fair Play

ชื่อภาพยนตร์ : Fair Play

ผู้กำกับ : โคลอี โดมอนต์

นักแสดงหลัก : ฟีบี ดีเนเวอร์, อัลเดน เอเรนไรค์, เอ็ดดี มาร์แซน

แนวภาพยนตร์ : ดรามา/ทริลเลอร์

วันที่ออกฉาย : 6 ตุลาคม 2023 (Netflix)

(Meta Description: Fair Play เกมรักเฉือนคมของคู่หนุ่มสาว ที่ทำงานในบริษัทกองทุนเฮดจ์ฟันด์เดียวกัน จากความรักที่ต้องคอยหลบๆ ซ่อนๆ กลายมาเป็นคู่แข่งทำผลงานที่บ่อนพังทลายความสัมพันธ์ลงเรื่อยๆ)

เรื่องย่อ Fair Play

Fair Play ว่าด้วยเรื่องราวชีวิตของคู่รักอย่าง ลุค และ เอมิลี่ หนุ่มสาววัยทำงานที่เกิดปิ๊งรักกันในบริษัทเดียวกัน และตกลงเตรียมใจที่จะมั่นหมายกันในเร็วๆ นี้ แต่ดูเหมือนว่าทางบริษัทที่ทั้งคู่ได้ทำเป็นบริษัทเกี่ยวกับการเงิน จึงมีนโยบายที่พนักงานห้ามคบหาและมีความสัมพันธ์อย่างเด็ดขาด และเมื่อการเลื่อนขั้นอย่างเร็วเหนือความคาดหมายของพนักงานในกองทุนเฮดจ์ฟันด์ ที่แต่ละคนต่างก็อยากโชว์ผลงานโดดเด่น เลยกลายเป็นจุดที่ต้องมาหั่นเฉือนคมเพื่อหวังผลงาน ขณะเดียวกันเลยเป็นการบ่อนทำลายชีวิตคู่ลงไปให้แย่ยิ่งกว่าเดิม

เจาะรายละเอียดหนัง Fair Play

เรียกได้เต็มปากเลยว่า Fair Play นี่คือภาพยนตร์ที่มาในแนว Hate Love Game แบบเต็มๆ ประตู ทั้งพล็อตและบทในแต่ละฉากบอกเลยว่าแบบมาเฉือนคมกันเองระหว่างคู่รัก ในฉากเลิฟซีนก็เล่นได้อย่างวาบหวิว แซ่บสุดๆ แต่ในขณะเดียวกันในฉากเชือดเฉือนชิงดีชิงเด่นกันทำผลงาน เพื่อหวังตำแหน่งหน้าที่การงานแบบนี้ เกมรักสุดร้อนระอุ ที่อาจจะเห็นได้บ่อยๆ ในซีรีส์แนวโรแมนติกกันมาอยู่แล้ว ไม่ได้แปลกใหม่สักเท่าไร แต่ความน่าสนใจอีกอย่างหนึ่งคือเราจะได้ชมบรรยากาศในการทำงานของมนุษย์เงินเดือนในวอลล์สตรีท พอนำมารวมกับพล็อตแบบนี้เลยน่าสนใจขึ้นมาระดับหนึ่ง

การแสดง

พาร์ทการแสดงของ อัลเดน เอเรนไรค์ และ ฟีบี ดีเนเวอร์ ที่ทั้งคู่ถือว่าทำออกมาช่วยพยุงตัวหนังได้ค่อนข้างดี ถึงแม้ดีเนเวอร์นั้นเธออาจจะยังไม่ค่อยมีประสบการณ์มาก แต่พอมาเล่นในบทบาทที่ค่อนข้างท้าทายแบบนี้ก็ทำให้ได้เห็นว่าเธอรับมือได้ดีทีเดียว จังหวะสบถพ่นไฟและการแอ็คติ้งที่อินเนอร์มาเต็มๆ ต้องยอมรับว่าบทนี้เสริมคาแรคเตอร์ของตัวเธอได้ดีมาก

ขณะเดียวกันด้านอัลเดน ที่ค่อนข้างน่าเสียดายไปสักหน่อย เพราะขึ้นชื่อว่าเป็นนักแสดงลีลาจัดจ้าน แต่ดันไม่ปังกับเรื่อง Fair Play นี้สักเท่าไร ยอมรับว่าฉากวาบหวิวก็ดีงามตามท้องเรื่อง บทก็เสริมคาแรคเตอร์ได้ดี แต่การระเบิดปะทะอารมณ์ภายในเรื่องนั้นกลับแสดงออกมาได้ยังไม่สุดสักเท่าไร หากถามว่าเข้ากันยังไงกับบทนี้ก็น่าจะเป็นลุคที่ดูสมาร์ทมีหัวคิด กับบทเฮดเลิฟที่ยังคงเหมาะกับเขาอยู่เรื่อยๆ นั่นเอง

การกำกับและการผลิต

Fair Play เป็นผลงานใหม่ของ โคลอี โดมอนต์ ผู้กำกับหญิง ที่เคยฝากผลงานไว้กับซีรีย์ดังเรื่อง Ballers ต้องยอมรับว่าเธอได้คัมแบ็คในวงการภาพยนตร์อีกครั้งจากระยะเวลา 10 ปี ซึ่งก็ถือว่าค่อนข้างฟอร์มดีทีเดียว อีกอย่างคือภาพยนตร์เรื่องนี้ค่อนข้างโดดเด่นจากการที่เปิดตัวใน Sundance Film Festival และที่สำคัญเรื่องนี้เธอได้เป็นคนกำกับและเขียนบทเอง จนน่าจะได้ขึ้นหิ้งเป็นภาพยนตร์มาสเตอร์พีซของเธอไปแล้ว

บทภาพยนตร์

Fair Play อาจจะไม่ใช่ภาพยนตร์ที่ทุกคนจะดูแล้วสนุกหรือชื่นชอบ แต่ขณะเดียวกันก็ไม่ได้ว่าจะดูแล้วไม่ชอบซะทีเดียว เนื่องจากโครงสร้างบวกกับเนื้อหาของเรื่อง ที่ชวนให้ผู้ชมรู้สึกรักและเกลียดในเวลาเดียวกัน ยิ่งในบทหนังที่บอกเลยว่ามีแต่มุมมองสุดจะเอียนจากความ Toxic ของชีวิตคู่ แต่กลับกลายเป็นว่ามันเข้ากันมากๆ เมื่อนำมาใช้เป็นตัวเดินเรื่องของภาพยนตร์เรื่องนี้ เราจะได้เห็นสถานการณ์แย่ๆ กับบรรยากาศที่อึดอัด ตึงเครียด ของคู่แอบรัก และตัวเลขทางการเงิน

ธีมและประเด็น

ธีมฉากหลังของเรื่อง Fair Play นั้นจะเกี่ยวข้องกับ วงการหุ้น วอลล์สตรีท และสถาบันการเงิน ที่บอกเลยว่าคนทั่วไปอาจจะเข้าไม่ค่อยถึงในรายละเอียดต่างๆ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะรับชมแล้วไม่รู้เรื่องไปซะทีเดียว เพราะตัวหนังรู้จักการใช้วิธีเล่นความรู้สึกของผู้รับชมไปพร้อมกับตัวละครด้วย ทั้งการสร้างบรรยากาศสุดจะตึงของความสัมพันธ์ระหว่างเอมิลี และ ลุค จากคู่รักแอบแซ่บทำงานในที่เดียวกัน จนมากลายเป็นคู่เดือดเชือดเฉือนกันในระหว่างหน้าที่การงานสุดจะขมขื่นแบบนี้

ความประทับใจส่วนตัว

ต้องยอมรับว่าตัวหนังส่วนใหญ่จะมีแต่เนื้อหาและฉากที่ทะเลาะ มีปากเสียงกันแทบจะทั้งเรื่อง ฉากการตะโกนด่าทอกันของคู่รัก ที่ความสัมพันธ์เริ่มแย่ลง แถมยังมีการเล่นเกมจิตวิทยาใส่กัน เราจะได้เห็นคู่รักที่ต้องมาแย่งชิงดีชิงเด่นกันในหน้าที่การงาน จนต้องมาตั้งคำถามว่าแล้วความรักที่เคยมีให้กันล่ะ ส่วนตัวมองว่าค่อนข้างจะมีเนื้อหาที่เครียด ไม่ได้บันเทิงกับใจใดๆ เลย แต่พอด้วยความที่ตัวหนังมีบทมีพล็อตมาแบบนี้ มันเลยกลายเป็นเสน่ห์และจุดขายหลักของเรื่อง ความกดดันต่างๆ ที่มันใกล้จะถึงจุดปะทุนี่แหละคือความน่าสนใจและเป็นไฮไลท์หลักนั่นเอง

คะแนนการประเมิน

IMDb 6.4/10

ภาพรวม 7/10

การเล่าเรื่อง 7/10

การแสดง 8/10

เทคนิคงานสร้าง 7/10

บทภาพยนตร์ 6/10

เปรียบเทียบกับภาพยนตร์เรื่องอื่น

เมื่อนำ Fair Play ไปเปรียบเทียบกับหนังเรื่องอื่นๆ ที่มาในพล็อตแบบ Hate Love ก็ถือว่าเรื่องนี้ค่อนข้างจะเป็นที่สุดเลยทีเดียว เพราะส่วนใหญ่แล้วหนังแนวๆ นี้จะมีแต่ Hate to Love ซะมากกว่า คือ ปูเรื่องมาในแนวเกลียดจ๋าๆ จนค่อยๆ ใจอ่อนและรักกันในตอนจบ แต่พอมาเป็น Fair Play คือรักมากจนกระทั่งมีสิ่งที่ทำให้ยิ่งต้องเกลียดกันเรื่อยๆ และบทสรุปที่ความสัมพันธ์มันสุดจะพังแบบนี้ ถือว่าอยู่ในอันดับต้นๆ ได้เลย แต่หากเอาไปเทียบกับซีรีส์เกาหลี ในบทดรามาเฉือดเฉือนแบบเดียวกันนี้ ก็น่าจะอยู่ในระดับกลางๆ มากกว่า

สรุปการรีวิวหนังเรื่อง Fair Play

โดยรวมแล้วต้องขอนิยามว่า Fair Play เป็นภาพยนตร์แนวโรแมนติกดราม่าฉบับคู่รักตบตีกัน และมีแต่เนื้อหาที่ค่อนข้างจะตึงเครียดไปทั้งหมด แต่ก็เป็นสิ่งที่หนังตีความออกมาได้สะท้อนกับชีวิตจริงของคู่รักที่มีปัญหาความ Toxic ในความสัมพันธ์ เพราะเชื่อว่าในสังคมก็น่าจะมีคู่รักที่รักๆ เกลียดๆ กันแบบนี้อยู่ไม่น้อย ยิ่งเป็นวัฒนธรรมของคนยุโรปต่างชาติด้วยก็เลยยิ่งทำให้เห็นความเรียลขึ้นไปอีก หากชื่นชอบหนังแนว เชือดเฉือนอารมณ์ ชิงชัง ชิงดีชิงเด่น ถือว่าตอบโจทย์ได้ดีมากๆ การแสดง อินเนอร์ หรือใดๆ ก็ดีมาก มาเต็มและสมูทไม่ติดขัดเลย ยิ่งบทสรุปทิ้งท้ายของเรื่องที่ดูเหมือนว่าจะเกินเยียวยาไปแล้ว เลยอยากให้ลองติดตามรับชมมากทีเดียว

Categories