Dune ดูน อีกหนึ่งภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ที่แฟนหนังตั้งตารอ และได้เป็นมหากาพย์หนังไซไฟที่ถูกนำเรื่องราวเก่ามาสร้างใหม่กันอีกครั้ง จากก่อนหน้านี้ที่ได้อยู่ในรูปแบบของนิยายดั้งเดิมจาก แฟรงก์ เฮอร์เบิร์ต และถูกนำมาสร้างเป็นหนังกันแล้วเมื่อปี 1984 แต่ฟีลลิ่งในตอนนั้นจะออกแนวไซไฟแบบคัลท์ๆ ไปซักหน่อย อาจจะเพราะด้วยเทคโนโลยีงานสร้างภาพยนตร์ที่จำกัดในช่วงยุคนั้น และคราวนี้จึงได้นำมายกระดับให้อลังการขึ้นอีกครั้ง จัดว่ายิ่งใหญ่สมศักดิ์ศรีทีเดียว
ข้อมูลทั่วไปของหนังเรื่อง Dune
- ชื่อภาพยนตร์ : Dune ดูน
- ผู้กำกับ : เดอนี วีลเนิฟว์
- นักแสดงหลัก : ทิโมธี ชาลาเมต์, รีเบ็กก้า ฟูเกอร์สัน, ออสการ์ ไอแซก, จอช โบรลิน
- แนวภาพยนตร์ : แอคชั่น / ไซไฟ / ผจญภัย
- วันที่ออกฉาย : 21 ตุลาคม 2021
เรื่องย่อ Dune
Dune ดูน มหาสงครามวิบัติจักรวาล จะเล่าถึงเรื่องราวของหนุ่มที่มีพรสวรรค์กับภารกิจแห่งโชคชะตายิ่งใหญ่ ที่แม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่เข้าใจจนต้องหาคำตอบมัน โดยได้เดินทางเพื่อไปที่ดาวเคราะห์ที่กล่าวกันว่าอันตรายที่สุดในจักรวาล เพื่อที่จะต้องเอาชีวิตรอดกับอนาคตของครอบครัวและคนที่อยู่เบื้องหลัง เพราะเหตุการณ์ในโลกตอนนี้กำลังถูกกองกำลังวายร้ายเข้ามารุกรานและแย่งชิงทรัพยากรที่เลอค่าที่สุดหนึ่งเดียวในโลก ที่ว่ากันว่าสามารถดึงศักยภาพที่ซ่อนอยู่ในตัวของผู้ใช้งานมันมาได้ ในขณะเดียวกันมีแค่ผู้ที่สามารถเอาชนะขีดจำกัดของตัวเองได้เท่านั้นจึงจะอยู่รอดในศึกสงครามครั้งนี้
เจาะรายละเอียดหนังเรื่อง Dune
สำหรับ Dune ดูน มหาสงครามวิบัติจักรวาล ถือว่าค่อนข้างคาดหวังกับแฟนๆ ภาพยนตร์ทั่วโลกทีเดียว ซึ่งก็ต้องมาเจาะรายละเอียดในแต่ละส่วนว่าจะเป็นอย่างไร ความน่าสนใจของเรื่องนี้ถือว่าเป็นหนังไซไฟฟอร์มยักษ์จากทางค่ายดังอย่าง วอร์เนอร์ บราเธอร์ส ที่การันตีในเรื่องของงานสร้าง โปรดักชั่นต่างๆ ที่ทำออกมาได้อย่างยอดเยี่ยมทีเดียว องค์ประกอบหลายๆ อย่างที่ยอมรับเลยว่าทีมงานใส่ใจรายละเอียดมาดีมาก เทคนิคพิเศษก็ใส่มาหนักหน่วงไม่แพ้กัน
การแสดง
สำหรับฝั่งนักแสดงของเรื่อง Dune ถือว่าจัดใหญ่และมีทีมนักแสดงเยอะมากๆ และที่สำคัญคือทุกคนเล่นคาแรคเตอร์ได้อย่างเข้าถึงตัวละคร ทิโมธี ชาลาเมต์ ที่ถือว่าเข้ากันมาก นี่คือตัวละครที่แบกหนังเอาไว้ทั้งเรื่อง แม้ดูจากบุคลิกจะเหมือนเป็นหนุ่มอ่อนแอ แต่ด้วยพรสวรรค์และอินเนอร์ต่างๆ ก็ทำให้เราเข้าถึงตัวละครได้ดี ถือว่าเป็นนักแสดงหนุ่มที่ฝีมือไม่ธรรมดาเลยทีเดียว โดยเฉพาะในตีนอารมณ์ที่ทำเอาขนลุก ส่วนตัวละครอื่นๆ ก็มีบทบาทไม่แพ้กัน เพราะหนังยังไม่ได้ทิ้งตัวละครประกอบ แต่ยังใส่รายละเอียดที่ทำให้ดูมีมิติมากขึ้น รีเบ็กก้า ฟูเกอร์สัน เธอค่อนข้างได้บทน่าสนใจทีเดียว หรือ ออสการ์ ไอแซก และ จอช โบรลิน ที่ถือว่าเล่นดีสมบทบาท และทำให้หนังดูมีกิมมิกมากยิ่งขึ้นด้วย
การกำกับและการผลิต
ฝีมือของกับผู้กำกับ เดอนี วีลเนิฟว์ ที่ตอนนี้ก็ถือว่ามอบประสบการณ์แปลกใหม่ได้อย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกับผลงาน Dune เรื่องนี้ ที่นำมาตีความแบบใหม่ได้น่าสนใจกว่าภาคก่อน เกร็ก เฟรเซอร์ ผู้กำกับร่วมหนังของเรื่องนี้ก็ดีไซน์องค์ประกอบได้ค่อนข้างสมบูรณ์ทีเดียว แต่ละฉากเหมือนกับว่าเตรียมการไว้อย่างดีแล้ว มีการวางแผนค่อนข้างดี แม้ว่าจะมีเสียงวิจารณ์เกี่ยวกับเรื่องนี้ว่าคล้ายกับโรงลิเกอยู่บ้าง แต่องค์ประกอบโดยรวมก็ถือว่าค่อนข้างดีแล้ว
บทภาพยนตร์
สำหรับบท Dune เรื่องนี้ถือว่ายังไม่ค่อยเอาแน่เอานอนสักเท่าไร เพราะก็มีทั้งช่วงที่ทำให้รู้สึกน่าสนใจ แต่บางช่วงก็รู้สึกเบื่อ แม้ว่าจะมีแอคติ้งการแสดงดีๆ จากทีมนักแสดงก็จริง แต่ดูไม่ค่อยจะไปในทางเดียวกันสักเท่าไร เพราะไม่ค่อยได้มีจุดที่ทำให้ผู้ชมสนใจได้ตลอดทั้งเรื่อง จึงกลายเป็นว่านี่คือปฐมบทหนังที่ค่อนข้างยืดยาว ยืดเยื้อและกินเวลาในช่วงแรกของการปูพื้นฐานเรื่อง
การถ่ายภาพและโปรดักชั่น
การดีไซน์ออกแบบ Dune งานโปรดักชั่นถือว่าประทับใจเลยทีเดียว เราจะได้เห็นภูมิประเทศของแต่ละดวงดาว ที่เป็นสตอรี่ของเรื่อง องค์ประกอบฉากต่างๆ เกือบทั้งเรื่องนั้นถือว่ายิ่งใหญ่อลังการงานสร้าง ไม่ว่าจะแพลนไปฉากไหนก็รู้สึกว่าเก็บรายละเอียดดีจนต้องว้าวเหมือนกัน การใช้โทนสีก็ทำได้เหมาะกับแต่ละฉาก การสื่อสารผ่านมุมกล้องก็ถือว่าน่าสนใจ ใช้วิธีการสร้างบรรยากาศเพื่อชวนให้ผู้ชมจดจ่อได้อย่างต่อเนื่องไม่สะดุดเลย
เสียงและดนตรี
มีองค์ประกอบนิดหน่อยที่รู้สึกว่าทำได้ไม่ค่อยเหมาะกับ Dune ก็คงจะเป็นเรื่องของเพลงประกอบภาพยนตร์ ฮันส์ ซิมเมอร์ กับดนตรีแนวเอพิคสุดจะยิ่งใหญ่อลังการ ซึ่งมันก็ส่งอารมณ์กับตัวหนังและซีนต่างๆ ได้จริงนะ แต่บางช็อตดันมีจังหวะที่ทำให้ผู้ชมรำคาญและตกใจได้บ้างนิดหน่อย กลายเป็นว่าซาวด์ดนตรีที่จะมาช่วยบิ้วอารมณ์ของผู้ชม มันกลับทำให้อึดอัดไปบางช่วงอย่างน่าเสียดาย
ธีมและประเด็น
สำหรับใครที่ดูเรื่อง Dune เชื่อว่าน่าจะต้องสงสัยและกลับมาค้นคว้ารายละเอียดเกี่ยวกับเนื้อหาของหนังเรื่องนี้เพิ่มขึ้นแน่นอน เพราะน่าจะมีอีกหลายอย่างที่ไม่ได้ถูกเฉลยในภาคนี้ซะทีเดียว ทำให้เราต้องมาทำความเข้าใจเนื้อหาเพิ่มเติมจากข้างนอกกันไปอีก อย่างการที่เราได้ยินคำศัพท์ของเรื่องแปลกๆ จากความเป็นดวงดาวสุริยะแบบนี้ บางครั้งก็อาจจะตามไม่ทันได้ เลยกลายเป็นว่าธีมในส่วนนี้มันเพิ่มความน่าสนใจให้กับผู้ชมอยากที่จะรู้เรื่องราวในเชิงลึกมากขึ้น
ความประทับใจส่วนตัว
มาถึงอีกหนึ่งองค์ประกอบสำคัญของ Dune ก็ถือบทหนัง ที่คงต้องยอมรับว่าความยาวกว่า 2 ชั่วโมงเศษของเรื่องนี้ แม้จะดูไม่ได้ยาวกับเรื่องราวมากมายที่ต้องถ่ายทอด แต่ก็ยังรู้สึกว่ายาวเกินไปและเวิ่นเว้อเกินจำเป็นไปสักหน่อยอยู่ดี เข้าใจว่าองค์ประกอบในหนังเรื่องนี้มีเยอะมากๆ แต่หนังที่เราได้ชมกันในวันนี้เป็นเป็นเพียงพาร์ทจุดเริ่มต้นเท่านั้น เท่ากับว่าเป็นการปูเรื่องที่ยาวนาน 2 ชั่วโมงกว่าๆ ที่มีทั้งจุดที่น่าเบื่อ ปะปนไปกับน่าตื่นเต้น
เรื่องที่ขอย้ำจริงๆ ก็คงหนีไม่พ้นกับความยาวภาพยนตร์ของเรื่องนี้ ที่ดูเหมือนว่าจะค่อนข้างโอเคกับปริมาณเนื้อหาการเล่าเรื่องราวก็จริง แต่ส่วนตัวก็ยังรู้สึกว่ามันยาวเกินไปและมีบางช่วงที่ไม่ค่อยจำเป็นสักเท่าไหร่ แต่ก็พอเข้าใจได้กับองค์ประกอบของต้นฉบับจากเรื่องนี้ที่มีรายละเอียดค่อนข้างเยอะพอสมควร แต่นั่นก็เพราะว่าภาพนี้เป็นจุดเริ่มต้นของปฐมบทเท่านั้น เท่ากับว่าเป็นการยอมปูเรื่องราว 2 ชั่วโมงเต็ม เพื่อไปสู่เนื้อหาในภาคถัดไปได้ลึกมากยิ่งขึ้น
คะแนนการประเมิน
IMDb : 8/10
ภาพรวม : 7/10
การเล่าเรื่อง :6/10
การแสดง :7/10
บทภาพยนตร์ :6/10
เปรียบเทียบกับภาพยนตร์เรื่องอื่น
สำหรับผู้ชมที่คาดหวังกับ Dune ด้วยความที่เป็นไซไฟจ๋า หรือแอ็คชั่นให้ได้ลุ้นมันส์ๆ อย่างที่หวัง ก็อาจจะมีผิดหวังกันไปบ้าง เพราะโดยรวมแล้วไม่ได้ไปในแนวทางนั้นสักเท่าไหร่ โดยรวมจะเป็นการอารัมภบทเกี่ยวกับเรื่องราว เป็นการเกริ่นปฐมบทในภาคแรกเท่านั้น ซึ่งสึกมาหาสงครามครั้งนี้จะต้องมีเรื่องราวในภาคต่อไป ดังนั้นจึงไม่สามารถเอาไปเทียบกับเรื่องอื่นได้ในหมวดไซไฟหรือแอ็คชั่นจ๋าๆ ซะทีเดียว เหมือนจะเป็นเรื่องราวที่ให้เรามาเก็บรายละเอียดก่อนที่จะนำสู่บทถัดไปซะมากกว่า
สรุปการรีวิวหนังเรื่อง Dune
สรุปโดยรวมของเรื่อง Dune ถือว่าก็เป็นอีกหนึ่งหนังฟอร์มยักษ์ที่น่าติดตาม เป็นมหากาพย์ไซไฟแอ็คชั่นที่อุตส่าห์ปูเนื้อหาเรื่องราวเกริ่นในภาคนี้เต็มๆ ทั้งเรื่อง ดังนั้นจึงเอาใจช่วยในภาคถัดไป เพราะน่าจะเข้าสู่บทที่สำคัญได้แล้ว ใครที่สนใจหนังพล็อตเรื่องสไตล์นี้ แนวๆ สงครามอวกาศและดาวดวงใหม่ น่าจะถูกใจกันไม่น้อย แต่ไม่แนะนำให้คาดหวังมาก เพราะอย่างที่ย้ำไปว่าภาคนี้คือการเน้นปูพื้นฐานเรื่องราวนั่นเอง เอาเป็นว่าต้องลองไปติดตามรับชมกันดูก่อน