The Flash (2023) ภาคเปิดสู่มัลติเวิร์ส DCU ที่แฟนบอยต้องดู ตัวละครลับเพียบ

ภาคเปิดสู่มัลติเวิร์ส DCU ที่แฟนบอยต้องดู ตัวละครลับเพียบ

The Flash อย่างที่เข้าใจกันดีว่าเรื่องนี้เป็นอีกหนึ่งเรื่องราวในจักรวาลของค่ายดีซี และน่าจะเป็นหนังขบวนท้ายๆ แล้วที่เราจะได้รับชมบรรยากาศความเป็น จัสติส ลีก ในแฟรนไชส์ชุดนี้แล้ว ซึ่งการฉายเดี่ยวครั้งนี้ของเดอะแฟลชถือว่าเป็นฮีโร่ที่กระแสดีพอสมควร และประสบความสำเร็จมาแล้วจากทีวีซีรีส์ ที่สำคัญถือว่ามาได้จังหวะในการขโมยซีนของซุเปอร์ฮีโร่หลายตัวในจักรวาลนี้เลยทีเดียว แต่สำหรับเรื่องราวในครั้งนี้จะประทับใจหรือไม่ต้องมารับชมรีวิวกัน

ข้อมูลทั่วไปของหนังเรื่อง The Flash

  •  ชื่อภาพยนตร์ : The Flash (เดอะ แฟลช)
  •  ผู้กำกับ : แอนเดรส มัสเชียติ
  • นักแสดงหลัก : เอซรา มิลเลอร์, ไมเคิล คีตัน, ซาช่า แคลล์
  • แนวภาพยนตร์ : แอคชั่น / ผจญภัย / ไซไฟ
  •  วันที่ออกฉาย : 15 มิถุนายน 2023

เรื่องย่อ The Flash

The Flash จะกล่าวถึง แบร์รี ที่ได้ใช้พลังวิเศษเพื่อกลับย้อนเวลาไปยังเหตุการณ์ในอดีตอีกครั้ง แต่ดูเหมือนว่าการพยายามในครั้งนี้จะทำเพื่อช่วยเหลือครอบครัว ซึ่งมันกลับทำให้อนาคตของโลกเปลี่ยนไปแบบไม่ได้คาดคิด ทำให้แบร์รี่ติดอยู่ในห้วงความจริงอีกหน้าหนึ่ง และนายพลซอด ได้คัมแบ็คมาอีกครั้ง ที่จะมาล้างบางทุกสิ่งอย่าง และแน่นอนว่าไม่มีฮีโร่คนไหนที่จะมาหยุดยั้งเขาได้อีกแล้ว

แต่ทว่าแบร์รี่จะโน้มน้าวใจกับแบทแมนได้หรือไม่ เพราะความหวังของชาวคริปโตเนียนที่ถูกคุมขังรอการช่วยเหลืออยู่ โดยที่ไม่ได้รู้เลยว่าสิ่งนี้ไม่ใช่อะไรที่เขากำลังตามหา ดังนั้นท้ายที่สุดแล้วในการปกป้องโลกจะกลับไปสู่อนาคตเดิมที่รู้จักได้หรือไม่ และแบร์รี่จะต้องวิ่งให้สุดชีวิตเท่านั้น เพราะการเสียสละครั้งสุดท้ายของเขาจะย้อนจักรวาลให้กลับคืนมาได้หรือไม่

เจาะรายละเอียดหนังเรื่อง The Flash

หลายคนที่ติดตามแฟรนไชส์จักรวาล DC อาจจะได้ยินข่าวอยู่บ่อยๆ สำหรับเรื่อง The Flash ที่ถือว่ามี Easter Egg เยอะมาก รวมถึงข่าวลบๆ ของทีมนักแสดงชุดนี้ แต่ไม่ว่าอย่างไรครั้งนี้ถือว่าเป็นการทุ่มทุนสร้างอีกครั้งของทางค่าย WB กันเลยก็ว่าได้ เพราะแว่วมาว่ามีการปรับเปลี่ยนรื้อถ่ายฉากใหม่หลายอย่างกันเลย งบประมาณก็ปาไปเกือบ 200 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งบางแหล่งก็ดูเหมือนจะระบุว่าใช้ถึง 400 ล้านเหรียญกันเลยทีเดียว

การแสดง

เอซรา มิลเลอร์ นั้นให้เป็นตัวแบกสำหรับเรื่องราวในครั้งนี้เลย เพราะบทบาทการแสดงถือว่าทำได้อย่างยอดเยี่ยม ฝีมือเต็มเปี่ยม ยังคงเป็น The Flash ที่ครองใจแฟนๆ ได้เหมือนเดิมไม่มีที่ติ มีฉากท้าทายเยอะมากแต่ก็ทำออกมาได้ดีฟอร์มไม่ตกเลย ยอมรับเลยว่าเดอะแฟลชยังไงก็ยังคงเป็นเขาคนนี้อยู่เหมือนเดิม ขณะที่นักแสดงสมทบอย่าง ไมเคิล คีตัน ที่คราวนี้มาเป็นแบทแมนอีกครั้งในรอบหลายสิบปี แต่ก็ยังมีฟอร์มดีเหมือนเดิม แม้บางมุมในเรื่องนี้จะไม่ได้ฉายแสงขนาดนั้นก็ตาม ขณะเดียวกัน ชาซ่า แคลล์ ที่มาเล่นเป็น ซูเปอร์เกิร์ล ก็มีเสน่ห์เหลือล้น สวย คม ดุดัน และน่าจะเป็นอีกตัวละครใหม่ที่แฟนๆ น่าจะชื่นชอบกันอยู่แล้ว

การกำกับและการผลิต

ผู้ที่มารับหน้าที่ในการกำกับ The Flash ในครั้งนี้คือ แอนเดรส มัสเชียติ ที่แน่นอนว่าเขาเป็นผู้กำกับหนังซูเปอร์ฮีโร่มาแล้วมากมาย แต่ละเรื่องก็ฟอร์มยักษ์ใหญ่ทั้งนั้น ซึ่งแอบเสียดายตรงที่การกำกับภาพยนตร์เรื่องนี้ถือว่ายังไม่ได้โชว์ฝีมือที่ซ่อนอยู่ของผกก.ท่านนี้ได้มากขนาดนั้น เราจะเห็นได้ว่าเขามาเป็นแค่หน้าที้น้อยๆ เพราะยังไม่ได้โชว์วิสัยทัศน์ที่ต่างจากระบอบนายทุนที่มาเกี่ยวข้องด้วย ดังนั้นทุกอย่างเลยจับมาใส่ตามสเต็ป บางทีตั้งใจจะเซอร์ไพรส์คนดูแต่กลายเป็นว่าไม่ได้ว้าวมากขนาดนั้น

บทภาพยนตร์

ตัวบทและการดำเนินเรื่องถือว่าค่อยๆ ไล่เป็นสเต็ปขั้นเรื่อยๆ เก็บรายละเอียดได้ค่อนข้างดี เรื่องปมดราม่าของตัวละครหลักถือว่าขยี้ได้สุดทางอยู่เหมือนกัน มีความซึ้งกินใจ แต่ในช่วงสรุปท้ายดูเหมือนตัวเอกของเรายังไม่ค่อยตกผลึกอะไรสักเท่าไรจากสิ่งที่ทำลงไป แต่ก็ถือว่าเมคเซ้นส์กับการที่จะปูเรื่องไปสู่มัลติเวิร์สจักรวาลใหม่ ที่ดูเหมือนว่ายังน่าจะมีผลงานให้เราได้ติดตามกันอีกเยอะเลย

การถ่ายภาพและโปรดักชั่น

สำหรับด้านงานโปรดักชั่น เทคนิคพิเศษ ซีจี วิชวล ของ The Flash ไม่ได้ขี้เหร่เลย ถือว่าดีตามมาตรฐานของค่ายนี้ที่สูสีกับค่ายแดงอยู่แล้ว บอกเลยว่าในเรื่องนี้เราจะได้เห็นซีจีทุกฉากทุกซีน ฉากแอ็คชั่นก็ไม่ได้มากจนล้น และไม่ได้น้อยจนเบื่อ กำลังดีเลย แต่ก็มีเรื่องที่ไม่ค่อยถูกใจสักหน่อย บางรายละเอียดที่มีหลุดๆ ไปบ้างของซีจีที่ดูลอยๆ ไม่ได้เนียนเป๊ะไร้ที่ติ แต่ก็ไม่ได้ถือว่าแย่ โดยรวมยังคงสูงกว่าหลายๆ ค่ายเลย

ธีมและประเด็น

พล็อตหรือธีมหลักของภาคนี้จะเป็นการย้อนเวลาของแบร์รี่เพื่อต้องการทำอะไรบางอย่าง ซึ่งเราจะได้เห็นว่าท้ายที่สุดแล้ว การย้อนเวลา หรือประเด็นเกี่ยวกับ Time Travel นั้นจะส่งผลดีหรือผลเสียมากกว่ากันแน่ และตัวละครก็จะได้เรียนรู้และยอมรับกับผลลัพธ์ที่มันตามมา สิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างคือการใช้ภาคนี้ปูเรื่องไปสู่การขยายจักรวาลดีซีให้เราได้รอลุ้นติดตามกันต่อไปอีก

ความประทับใจส่วนตัว

บอกตามตรงว่าถ้าหากคุณไม่ใช่แฟนตัวละครในจักรวาลนี้ หรือตัว The Flash เองก็ตาม เพราะมันคือหนังที่ดูได้สนุก เพลิน สำหรับคนที่ติดตามมาอยู่แล้ว แต่ถ้าใครเพิ่งจะรู้จักและไม่มีพื้นฐานเนื้อหามาก่อนเลย ใหม่มากๆ บอกเลยว่าให้ถอยไปก่อนดีกว่า เพราะหลายมุมในเรื่องนี้ยังมีประเด็นที่ทำให้สงสัยได้อยู่ถ้าใครไม่ได้ติดตามมาก่อน รวมไปถึงทฤษฏีที่เกี่ยวข้องกับการเดินทางข้ามเวลานั้นยังอธิบายได้ไม่ค่อยชัดเจนสักเท่าไร แต่ถ้าใครไม่แคร์อยู่แล้ว แค่อยากชมฉากบู๊มันส์ๆ ก็มาจอยได้เลย

คะแนนการประเมิน

IMDb : 6.7/10

ภาพรวม : 7/10

การเล่าเรื่อง : 7/10

การแสดง : 8/10

เทคนิคงานสร้าง : 6/10

บทภาพยนตร์ : 6/10

เปรียบเทียบกับภาพยนตร์เรื่องอื่น

เอาแค่ The Flash ครั้งนี้ไปเปรียบเทียบกับเวอร์ชั่นทีวีซีรีส์ก็ถือว่าทำได้ค่อนข้างดีมากแล้ว หลายอย่างดูพัฒนาขึ้นเยอะทั้งบท ทั้งพล็อต ทั้งซีจี หลายอย่างดูอัพเกรดขึ้นและมีความเข้มข้นทีเดียว อีกอย่างคือมีกลิ่นอายของเวอร์ชั่นคอมมิคเข้ามาด้วย เพราะเนื้อหาบางส่วนจะมาจากคอมมิค จึงได้ฟีลแนวการ์ตูนๆ บ้างนิดหน่อย ดังนั้นถ้าจะสรุปเมื่อเทียบกันแล้วถือว่าค่อนข้างดีผ่านเกณฑ์มาตรฐาน

สรุปการรีวิวหนังเรื่อง The Flash

The Flash ก็ยังเป็นหนังแนวซูเปอร์ฮี่โร่ที่ให้ความบันเทิงได้ดีตามแบบฉบับของทางฝั่ง DC ซึ่งขอชื่นชมว่าดีกว่าเรื่องก่อนหน้ามาแล้วหลายๆ เรื่องเลย แต่ก็ยังขาดๆ ไปบ้างไม่ได้เพอร์เฟ็กต์ขนาดนั้น องค์ประกอบต่างๆ และกลิ่นอายของหนังยังมีลายเซ็นต์ตามแบบฉบับของดีซี ส่วนพล็อตก็โอเคเลย ค่อนข้างโอเคเลย ทำถึงและสนุก ไล่ลำดับเหตุการณ์ได้ดี ลื่นไหล ตัวนักแสดงช่วยได้เยอะมาก ประคองหนังได้ดีจนจบเรื่อง แต่ในบทสรุปก็ยังคงวกวนแบบเดิม ยังไม่เห็นอะไรที่แปลกใหม่อย่างที่คาดหวัง อย่างไรก็ลองไปติดตามรับชมกันดูก่อนได้เลย

Categories